25 กุมภาพันธ์ 2553

การเมือง //





แก้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หวังรุกฆาตทางการเมือง

การมีประชาธิปไตย ไม่ได้แปลว่า มีสิทธิและเสรีภาพที่จะทำอะไรได้ทุกเรื่องอย่างไร้ขอบเขต นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ และสังคมวิทยา ย่อมรู้ดี








การเป็นประชาธิปไตยย่อมต้องอยู่ในกรอบของการเคารพสิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคล ไม่ละเมิดผู้อื่น แต่นักวิชาการกลุ่มหนึ่งบอกว่ากฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเป็นกฎหมายที่ใช้เอาผิดฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง โดยเบี่ยงประเด็นการขัดแย้งในทางการเมืองให้เป็น การสนับสนุนเจ้ากับพวกวิจารณ์เจ้า เบี่ยงประเด็นจากการขับไล่นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลที่กระทำการโกงกินและเหลิงอำนาจ ไปเป็นการขัดแย้งระหว่างองคมนตรีกับรัฐบาล เพื่อกระทบสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยกล่าวหาองคมนตรีว่าอยู่เบื้องหลังของการชุมนุมขับไล่นายกรัฐมนตรีโดยคนเสื้อเหลือง ที่ประกาศปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์



ทำไม? คนเสื้อเหลืองจึงประกาศปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ในขณะที่ช่วงนั้นมีเว็บไทยบางเว็บที่ไม่ปรากฏว่าใครเป็นผู้ก่อตั้ง รวมไปถึงเว็บไซต์ต่างประเทศ ได้ลงเรื่องราวป้ายสิ่งสกปรกแก่พระราชวงศ์เป็นระยะ

ทำไม? คนเสื้อเหลืองจึงต้องขับไล่นายกรัฐมนตรี ชื่อ นายทักษิณ ชินวัตร (ขอถอดยศตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป) ซึ่งคนไทยหลายภาคส่วน ต่างรู้ว่ามีการปล้นชาติกินเมือง ต่างรู้สึกอึดอัดกับความเหลิงอำนาจ จังหวัดไหนเลือกไทยรักไทย ก็จะดูแลจังหวัดนั้นก่อน (แล้วพูดได้อย่างไรว่า ไทยรักไทย..โกหกชัดๆ)



ทำไม? นายใจ นายจอน ซึ่งเป็นคนตระกูลอึ้ง จึงสนับสนุนนายทักษิณ ทั้งที่รู้เห็นอยู่ว่าเป็นคนคดโกง ทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง ทั้งต้อน ส ส.เข้าคอก สลายพรรคเล็กๆ เรียกหากันเป็นนายใหญ่นายหญิง ประเด็นนี้ไม่ใช่วิสัยพรรคการเมืองที่ประกาศตัวว่าเป็นประชาธิปไตย แต่ นายใจ นายจอน ก็ยังสนับสนุน









มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนก็ไม่เคยออกมาคัดค้านการบริหารประเทศของรัฐบาลแบบเผด็จการของนายทักษิณและภรรยา เมื่อภาระกิจปล้นชาติโกงแผ่นดินเกิดขึ้น ก็ไร้เงานักวิชาการผู้คัดค้านกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ยิ่งนายทักษิณมีพฤติกรรมกำเริบเสิบสานตีตนเสมอเจ้า คนเสื้อเหลืองก็ยิ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ขณะเดียวกันเรื่องราวการป้ายสิ่งสกปรกแก่พระราชวงศ์ก็ปรากฏแพร่หลายมากขึ้น แต่กลับไม่มีการดำเนินการใดๆ กับกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหลัง ไม่ใช่ว่ากระทรวงไอซีทีไม่รู้ ไม่ใช่ว่ารัฐบาลนายทักษิณไม่รู้



การจัดตั้งกลุ่มคนเสื้อแดง มีการจัดระบบสมาชิก จัดกลุ่มคุมจำนวนคน จ่ายค่าหัว ตามสาย ตามกลุ่ม จัดชุมนุมก่อความรุนแรงอ้างอุดมการณ์รักประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ ดูจะขัดแย้งกับภาพของนักวิชาการอย่าง นายใจ นายจอน แม้จะเคยมีถ้อยแถลงจากนายจอนว่าโดนป้ายสีเรียกร้องของความเป็นธรรม แต่สิ่งที่แสดงออกมาวันนี้มันชัดเจนว่าใครป้ายสีใคร



ทั้งนายใจ นายจักรภพ กลุ่มมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ได้กระทำการสอดคล้องกัน คำแถลงการณ์แดงสยามบ่งบอกความสัมพันธ์ในอดีตของ นายทักษิณ นายใจ นายจอน นายจักรภพและพวก เว็บไซต์หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เว็บไซต์สาธารณรัฐสยาม ทุกกระบวนการเป็นการดำเนินงานเพื่อล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์และระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข เพื่อนำไปสู่การปกครองที่อ้างว่าสาธารณรัฐ แต่ผู้ฝักใฝ่มาร์กซิสม์ กลับอ้างความเสมอภาค โดยเบื้องลึก คือ คนไทยส่วนใหญ่ แม้คนเสื้อแดงที่ถูกหลอกให้ออกมาเคลื่อนไหวเวลานี้ก็ไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับลัทธิเหล่านี้ นี่คือจุดบอดในความมั่นคงของชาติ และเป็นช่องว่างให้กลุ่มคนเหล่านี้ได้อำนาจรัฐ



ความอาฆาตแค้นที่เข้าใจว่าพระมหากษัตริย์อยู่เบื้องหลังการรัฐประหารสมัยที่บิดาของตนเป็นนักวิชาการที่ต้องลี้ภัย ความหลงตัวเองของนักวิชาการด้านสังคมวิทยา ที่อ่านหนังสือมามากมาย ซ้ำได้รับคำชื่นชมยกย่องจากแวดวงนักวิชาการ ยิ่งทำให้สำคัญผิดคิดว่าตนสามารถเปลี่ยนประเทศไทยได้ จึงคิดการอาศัยนักการเมืองที่ชื่อทักษิณเป็นสะพาน แต่เมื่อทักษิณเคลื่อนไหวอย่างไร้ทิศทางและไร้คุณค่า จึงเกรงว่าไม่เร็วก็ช้าจะถูกเช็คบิล สู้ออกมาเปิดหน้าตักเล่นกันตรงๆ คงดีกว่า









วันนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญกับการทำลายประเทศจากคนสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งคือผู้เสียผลประโยชน์ทางอำนาจการปกครอง อีกกลุ่มคือผู้สูญเสียกำลังสนับสนุนที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศด้วยความอาฆาตต่อพระมหากษัตริย์ เว็บหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่เปิดตัวออกมาต่างเกี่ยวพันกับคนสองกลุ่มนี้ทั้งสิ้น



คนไทยที่รักทั้งหลาย ไม่ว่าท่านจะสวมเสื้อแดงหรือเสื้อเหลือง ตรึกตรอง ทบทวนกันใหม่เถิด พระเจ้าอยู่หัวของเราทรงดำเนินพระราชกรณียกิจพัฒนาประชาชน มาตั้งแต่เรายังไม่เกิด พัฒนาเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน พระองค์ท่านไม่เคยเสวยสุขในพระราชสมบัติ แต่กลับทรงดำรงอยู่ด้วยความลำบากพระวรกาย เสด็จพระดำเนินไปในท้องถิ่นทุรกันดาร ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่นานาประเทศให้ความเคารพ พระราชวงศ์ทุกพระองค์ทรงกำลังเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท



เทียบกับผู้ที่พยายามกล่าวอ้างให้ร้ายแก่พระองค์ท่าน เขาทำคุณประโยชน์อะไรแก่ประเทศชาติและประชาชนบ้าง นอกจากการปลุกปั่นให้นักศึกษาส่วนหนึ่ง ประชาชนส่วนหนึ่ง ฝักใฝ่ในลัทธิที่เขาอ้างว่าคือ ประชาธิปไตย และไม่มีประเทศเผด็จการประเทศใดที่จะประกาศชื่อว่าเป็น "ประเทศเผด็จการ" แต่ประเทศที่ปกครองโดยระบอบเผด็จการจะมีชื่อ "สาธารณรัฐประชาธิปไตย" หาก "สาธารณรัฐสยาม" เกิดขึ้นจริง ประชาชนไทยก็จะตกอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการในทันที



การอ้างว่าทำเพื่อประชาธิปไตย จึงต้องแก้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เพื่อต้องการให้วิพากษ์วิจารณ์พระมหากษัตริย์ได้ โดยกล่าวอ้างว่าเป็นเครื่องมือในการทำลายฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง แต่ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏนั้น กลุ่มผู้สนับสนุนนายทักษิณเป็นฝ่ายกระทำการจาบจ้วงล่วงละเมิดต่อเบื้องสูง โดยผ่านการกล่าวหาองคมนตรี และมีนายจักรภพเป็นหลักเพราะมีความสามารถในการพูดให้รู้นัยยะว่าจะกระทบพระองค์ท่านแต่กลับเอาผิดคนๆนี้ได้ยาก



แต่แล้วก็ถึงคราวซวย เมื่อไม่สามารถคุมพวกเดียวกันได้ กรณีคดี "ดา ตอปิโด" หญิงปากหยาบช้าผู้รับข้อมูลสกปรกมากล่าวร้ายเบื้องสูง โดยคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่พูดออกมาหมดในสิ่งที่ตนได้รับจากกลุ่มผู้ชักนำซึ่งสนับสนุนนายทักษิณ จึงถูกจับกุมดำเนินคดี การกล่าวร้ายแสดงวาจาดูหมิ่นเบื้องสูง หากไม่มีกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาจัดการแล้ว "ดา ตอปิโด" อาจถูกประชาทัณฑ์










ปฏิบัติการดูหมิ่นจาบจ้วงให้ร้ายพระเจ้าอยู่หัวและพระราชวงศ์ เกิดขึ้นมากในช่วงที่นายทักษิณเหลิงอำนาจและช่วงใกล้สูญเสียอำนาจ ยิ่งเวลานี้ยิ่งมีมากกว่าเดิมเพราะมีการประกาศตัวชัดเจนแล้วว่าใครเป็นใครในขบวนการนี้ การคัดค้านเสนอแก้กฎหมายของนักวิชาการจึงเป็นการคิดว่ารุกฆาต หากรัฐไม่แก้ แสดงว่าจะใช้กฎหมายนี้เป็นเครื่องมือทำลายฝ่ายตรงข้าม และหากยอมแก้ พวกตนจะพ้นผิดและสามารถให้ร้ายพระราชวงศ์ได้ต่อไปโดยเสรี



แต่นักวิชาการเหล่านี้ลืมไปว่า คำว่า เสรีภาพ นั้นแปลว่า การไม่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล เสรีภาพไม่ใช่การจะกล่าวร้ายป้ายสีใครก็ได้ เหตุที่บุคคลต่างๆไม่กี่คนที่ต้องถูกดำเนินคดีนั้น มาจากการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคล




เป็นการละเมิดสิทธิด้วยความเท็จ ด้วยการกระทำให้เกิดการดูหมิ่นดูแคลนต่อบุคคลอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันกษัตริย์ การกระทำต่าง ๆ เป็นไปในเจตนามุ่งร้ายต่อประเทศไทย นักวิชาการต่างชาติก็ยิ่งไม่สมควรนำมาเกี่ยวข้อง นี่เป็นเจตนาชัดเจนว่าต้องการให้รากหญ้าที่ไม่เข้าใจ ยิ่งเกิดความเข้าใจผิดให้คิดไปว่านานาประเทศเขาคิดอย่างนั้น



การดำเนินคดีต้องดำเนินต่อไป กฎหมายต้องมีต่อไป ที่นักวิชาการคัดค้านนั้นไม่เป็นเหตุผล เพราะนักวิชาการที่คัดค้านก็กลุ่มก๊วนเดียวกับผู้ที่กระทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยหวังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบสาธารณรัฐ และการดำเนินคดีต่อผู้กระทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้นมิใช่เครื่องมือที่รัฐจะจัดการฝ่ายตรงข้าม แต่เป็นการดำเนินการต่อผู้กระทำการอันเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ



การมีกฎหมายนี้เพื่อรักษาสถานภาพองค์พระประมุขมิให้อยู่ในฐานะที่ใครจะมาดูหมิ่นดูแคลนให้ร้ายได้ เพราะฐานะการเป็นองค์พระประมุขของประเทศ เป็นศักดิ์ศรี เป็นเกียรติยศของชาติ ประเทศจึงต้องมีกฎหมายนี้เพื่อรักษาเกียรติยศของประเทศ มิใช่มีไว้เพื่อเป็นเครื่องมือทำลายฝ่ายตรงข้าม



วันนี้ เราคนไทย เรานิยมไทย เราไม่จำเป็นต้องเดินตามฝรั่ง เราจะกลับสู่รากเหง้าของความเป็นไทยที่มีวิชาการตะวันตกและอารยธรรมตะวันออก อารยธรรมไทย ก้าวเดินอย่างทัดเทียมต่างชาติ แต่ไม่ใช่การบูชาต่างชาติ



ประเทศไทยจะมีหน้าอยู่ในประชาคมโลกได้อย่างไร...?

หากกระทั่งองค์พระประมุขของประเทศยังถูกกระทำการหยาบช้าแปดเปื้อนได้ คนไทยจะมีหน้าอยู่ได้อย่างไรหาก ไม่สามารถปกป้ององค์พระประมุขของตนได้





,มหาวิทยาลัย UNIVERSITY .๐๐




THAMASAT UNIVERSITY























My name is Kanjana Nuchsiri.




My nickname is popup.

My brithday is 1 May 1994 .







I favorite corlor is black

I want to study university is thammasat nitisas.

เรื่องแปลก -- *



ฮือฮา! เหมียว 4 ใบหู

หนังสือพิมพ์เดลี่เมล์ ของอังกฤษ รายงานว่า นางวาเลอรี และ
นายเท็ด ร็อก สามีภรรยา ชาวอเมริกัน ในเมืองชิคาโก เปิดตัวเจ้าแมวเพศผู้ ที่มีใบหูข้างละ 2 หู
















โดยหูที่เกินออกมามีลักษณะเรียวแหลม เหมือนตัวละคร "โยด้า"


ในหนังสตาร์ วอร์ มันจึงได้ชื่อว่า โยด้า มีนิสัยคล้ายตัวละครโยด้า คือช่าง

สังเกต ร้องเหมียวๆ เสียงเบาไม่กลัวอะไร เข้าสังคมได้ดี สามีภรรยาได้แมว

4 ใบหู มาเลี้ยงเมื่อ 2 ปีก่อน ตอนไปเที่ยวบาร์แห่งหนึ่งใกล้บ้าน เจ้าของ

บาร์จับลูกแมวใส่กรงตั้งไว้เพื่อหาคนเลี้ยงดูมันอยู่ ขณะที่เหล่านักดื่มต่างมา

เพ่งดูลูกแมวตัวนี้อย่างสนใจ เมื่อสามีภรรยารับมาเลี้ยง มันประจบเจ้านาย

ใหม่ทันที ด้วยการปีนขึ้นไปที่คอและหลับอยู่ตรงไหล่ของนายเท็ด ต่อมา

เมื่อโยด้าอายุ 2 เดือน นางวาเลอรีพาไปหาหมอ สัตวแพทย์ประหลาดใจ

มาก บอกว่าไม่เคยเจออย่างนี้มาก่อน จากนั้นมาครอบครัวจึงฝังชิพไว้เผื่อ

มันหลง หรือถูกลักพา


บุคคลที่ชอบ ^^ '

^^ ' ศกลรัตน์ วรอุไร โฟร์ Four *

















ชื่อ ศกลรัตน์ วรอุไร (Sakolrat Woraurai)
ชื่อเล่น โฟร์ มีชื่อภาษาญี่ปุ่นด้วยล่ะ ยูกิ
วันเกิด เสาร์ 25 ตุลาคม 2529
น้ำหนัก 39-40 กก. ไม่ได้ลดน้ำหนัก ทำงานหนักเลยไม่อ้วนซะที
ส่วนสูง 165 ซม. อนาคตจะสูงกว่านี้
ภูมิลำเนา กรุงเทพฯ
บิดา นายสมบัติ วรอุไร
มารดา นางผ่องศรี วรอุไร
พี่สาว ธนวรรณ วรอุไร (วัน), สิริกมล วรอุไร (อ๊อฟ, ทรี)
พี่ชาย สุทธิพงษ์ วรอุไร (ทู)
อนุบาลเรียนที่ ลาซาล บางนา
ประถมเรียนที่ ลาซาล บางนา
มัธยมเรียนที่ นวมินทราชินูทิศเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า
ปัจจุบันเรียนที่ มหาวิทยาลัยรังสิต คณะนิเทศศาสตร์ สาขาวิชา การประชาสัมพันธ์ ปี 2
วิชาที่ชอบเรียนเป็นพิเศษ ศิลปะ
วิชาที่ไม่ชอบเรียน คณิตศาสตร์
อาหารที่ชอบ ยำมาม่า
ขนมที่ชอบ บราวนี่ และ เค้กช็อกโกแลต (S&P)
ของใช้ Hello Kitty
นิสัย ร่าเริง ขี้เล่น
แนวเพลงที่ชอบ ป๊อป
ดาราที่ชอบ อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ, พอลล่า เทย์เลอร์
สีที่ชอบ ฟ้า , ขาว , ดำ, ชมพู, แดง, น้ำตาล
สีที่ไม่ชอบ สีส้ม
รถยนต์ TOYOTA WISH, YARIS
กิจการของครอบครัว คุณพ่อเปิดร้านขายอะไหล่รถยนต์, พี่สาวเปิดร้านขายเสื้อผ้า ชื่อ Blue Jay by Four
งานอดิเรก ตอนนี้ไม่มี เพราะไม่เหลือเวลาทำอะไรแล้ว
ของรักของหวง โทรศัพท์มือถือ
สัตว์เลี้ยง สุนัขชื่อ มันนี่, น้ำพุ, น้ำปั่น
คติพจน์ประจำใจ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด
งาน เหนื่อยมากๆ แต่ชอบ สนุกดี สู้ สู้ สู้ตาย!
เรียน สำคัญมากๆ ขอให้ทุกคนตั้งใจเรียนด้วยนะ
ขอบคุณ ทุกๆ คนที่ชอบโฟร์ และอยู่ด้วยกันไปนานๆ นะ
ขอโทษ ที่ตอบจดหมายช้านะ
แฟน มีแฟนคลับทั่วโลกเลย
ขอร้อง อย่าถามวิธีลดน้ำหนักนะ ไม่รู้จริงๆ

กีฬายิงปืน "




ยิงปืน : ประวัติกีฬายิงปืน




กีฬายิงปืน (Shooting) เป็นกีฬาที่แข่งกันที่ความแม่นยำ ปิแอร์ เดอ กูแบร์แตง (Pierre De Coubertin) ผู้ฟื้นฟูโอลิมปิกสมัยใหม่นั้น เขาก็เคยเป็นแชมป์ยิงปืนสั้นของประเทศฝรั่งเศสมาหลายปีก่อนแล้ว เขาได้ร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งแรกที่กรุงเอเธนส์ในปี 1896 ด้วย ในตอนนั้นมีการแข่งขันเพียง 3 รายการเท่านั้น จากนั้นกีฬายิงปืนก็ได้รับการบรรจุในโอลิมปิกมาโดยตลอด ขาดอยู่เพียง 2 ครั้ง คือ ปี 1904 ที่เซนต์หลุยส์ สหรัฐอเมริกา และ ปี 1928 ที่ อัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ รายการประเภททีมซึ่งมีทั้งปืนสั้นและปืนยาวค่อยๆถูกตัดออกไปจนหมดไปอย่างสิ้นเชิงในปี 1948
การยิงปืนเป้าบินรายการสกีท (Skeet) ที่มีขึ้นในช่วงระหว่างปี 1910 ถึง 1915 ในฐานะกีฬาซ้อมมือสำหรับนักยิงปืนนั้นได้รับการบรรจุในโอลิมปิกปี 1968 ที่เม็กซิโกซิตี้ ประเทศเม็กซิโก
ในสมัยก่อนมีการแข่งขันแบบไม่จำกัดเพศด้วย เรียกว่ารายการโอเพ่น เป็นรายการที่ทั้งหญิงและชายแข่งขันกันด้วยความเสมอภาค ชิงเหรียญเดียวกัน และตลอดมาก็เป็นนักกีฬายิงปืนชายที่คว้าชัยชนะไปครอง จนถึงปี 1976 นักยิงปืนหญิงจึงสามารถเอาชนะได้เหรียญทองเป็นครั้งแรก ซึ่งเกือบทุกรายการแข่งขันเดี๋ยวนี้ทำการแข่งขันในร่มกันทั้งหมด ยกเว้นการแข่งขันยิงเป้าบินที่ยังเป็นการแข่งขันกลางแจ้งอยู่
ปืนพก (Pistol) ถูกประดิษฐ์ขึ้นโดย Caminello Vitelli ณ เมืองพิสโตเอีย รัฐฟลอเรนไตน์ ประเทศอิตาลี ประมาณปี พ.ศ. 2083 โดยใช้ชื่อเมืองที่ถือกำเนิดเป็นชื่อของปืนชนิดนี้ ในช่วงชีวิตของ Vitelli ปืนพกที่ประดิษฐ์ขึ้นยังไม่ประสบผลสำเร็จอย่างแท้จริง เนื่องจากปืนของเขายังไม่มีประสิทธิภาพมากมายนัก
ในประเทศอังกฤษและสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2393 เป็นต้นมา มีการนิยมใช้ปืนยาวอัดลม (Rifle) เป็นอย่างมาก ปี พ.ศ. 2403 ในสหรัฐอเมริกาจัดให้มีการแข่งขันยิงปืน ณ สถานที่ต่างๆ ตามริมฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก เช่น ริมฝั่งแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ โดยสมาคมยิงปืนยาวอัดลมแห่งชาติ (The National Rifle Association) สมาคมแห่งนี้ได้สร้างกฎระเบียบในการกีฬาประเภทนี้คือ มาตรฐานของเป้า และระยะ เป็นต้น จากความไม่มีระเบียบ ไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนมาสู่มาตรฐานจึงได้จัดให้มีการแข่งขันยิงปืนยาวอัดลมเพื่อชิงชนะเลิศระหว่างชาติ โดยใช้กฎอันเดียวกันเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2414 และได้ถูกจัดแข่งขันกันอย่างกว้างขวางในเวลาต่อมา
ต้นปี พ.ศ. 2423 ซึ่งเป็นระยะที่ประชาชนทั่วไปกำลังให้ความสนใจอยู่กับปืนลม Paine นักแม่นปืนของสหรัฐอเมริกาผู้หนึ่งได้แสดงการยิงปืนพก และปืนสั้น (Revolver) ในขณะที่เขาท่องเที่ยวไปยังประเทศอังกฤษ เป็นผลให้สมาคมยิงปืนแห่งแมสซาชูเซตส์ได้มอบโล่รางวัลให้ทั้งปืนพกและปืนสั้น จึงทำให้บรรดาสมาชิกทั้งหลายหันมาสนใจอาวุธปืนทั้ง 2 ชนิด ตั้งแต่นั้นมาคนทั้งหลายจึงให้ความนิยมสนใจกับอาวุธปืนกันอย่างแพร่หลาย โดยมีการจัดการแข่งขันอย่างกว้างขวาง ซึ่งการแข่งขันยิงปืนได้บรรจุเข้าไว้ในการแข่งขันกีฬาระดับชาติ เช่น การแข่งขันกีฬาแหลมทอง (ซีเกมส์) เอเชียนเกมส์ และโอลิมปิกเกมส์ เป็นต้น ประวัติยิงปืนในประเทศไทย
กีฬายิงปืนเป็นกีฬาที่ประชาชนคนไทยให้ความนิยมและสนใจเมื่อไม่นานนี้เอง ความจริงแล้วคนไทยรู้จักการใช้อาวุธปืนมาช้านานแล้ว และมีการแข่งขันกันแต่ไม่เป็นที่นิยมแพร่หลายมากนัก ต่อมาบรรดานักยิงปืนทั้งหลายได้เล็งเห็นว่าควรจะได้มีการแข่งขันยิงปืนตามแบบและกติกาและกติกาสากลนิยม จึงมีการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อจัดการแข่งขันยิงปืนขึ้นตามแบบและกติกาสากลนิยม จึงได้มีการจัดตั้งสมาคมยิงปืนสมัครเล่นแห่งประเทศไทย โดยจดทะเบียนก่อตั้งอย่างถูกต้อง เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2501
ภายหลังจากที่สมาคมยิงปืนสมัครเล่นแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ได้ก่อตั้งขึ้นแล้ว สมาคมฯจึงได้คัดเลือกนักกีฬายิงปืนส่งเข้าร่วมการแข่งขันกับนานาชาติ เช่น การแข่งขันซีเกมส์ เอเชียนเกมส์ และโอลิมปิกเกมส์เป็นครั้งแรกในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ครั้งที่ 17 ณ กรุงโรม ประเทศอิตาลี ในปี พ.ศ. 2503
ในปี พ.ศ. 2501 สมาคมยิงปืนสมัครเล่นแห่งประเทศไทย จึงได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกของสหพันธ์ยิงปืนแห่งเอเชีย และสมาชิกของสหพันธ์ยิงปืนนานาชาติในปีเดียวกัน ซึ่งประเภทการแข่งขันยิงปืนตามแบบสหพันธ์ยิงปืนนานาชาติ ซึ่งจัดการแข่งขันในกีฬา

โอลิมปิกมี 7 ประเภท คือ

1) ปืนยาวท่านอน
2) ปืนสั้นยิงช้า
3) เป้าบินประเภทแทร็ป
4) ปืนยาว 3 ท่า
5) เป้าเคลื่อนที่
6) ปืนสั้นยิงเร็ว
7) เป้าบิน (ประเภทสกีต)



24 กุมภาพันธ์ 2553

ความรัก ♥ "




ความรัก คือ ฤดูการที่จะต้องเปลี่ยนไปเมื่อถึงเวลาของมัน

ความรัก คือ สัจธรรม สื่งที่แน่นอนคือ ความไม่แน่นอน

ความรัก คือ ประจุไฟฟ้าคนละขั้วที่วิ่งเข้าหากัน

ความรัก คือ ความรู้สึกว่า " ใช่ " เมื่อเราได้เสียมันไปแล้ว

ความรัก คือ ลูกกวาดรสหวานใน อมไม่นานก้อละลาย

ความรัก คือ เสียงเพลงที่มีทั้ง สุข ทุกข์ เศร้า สนุกสนาน

ความรัก คือ การปลูกต้นไม้ต้องหมั่นดูแลเอาใจใส่ รดน้ำ พรวนดิน

ความรัก คือ การเดินทาง ที่จะสิ้นสุดก้อต่อเมื่อเราหยุดเดิน

ความรัก คือ อำนาจที่ลี้ลับ ซึ่งบางครั้งเราไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างรัย

ความรัก คือ พลังวิเศษที่ทำหั้ยเกิดสิ่งสวยงาม

ความรัก ไม่ใช่สิ่งจำเป็น แต่เป็นของขวัญล้ำค่าที่แสนวิเศษ

ความรัก คือ ความห่วงใย เอื้ออารีและอดทน

ความรัก ไม่ต้องการผลตอบแทนใดๆเพียงแค่ให้ได้ความรักย้อนกลับคืนมาก้อพอ

ความรัก ไม่มีข้อแม้

ความรัก คือ การให้และไม่เห็นแก่ตัว

ความรัก คือ สื่งบ่งชี้ความถูกต้อง แต่ไม่ใช่เหตุผลที่จะใช้อ้างความเป็นเจ้าของ

ความรัก คือ การเชื่อใจ

รัก คือ ส่วนเติมเต็ม การให้ภัย เข้าใจ และเป็นแรงบันดาลใจ

รัก คือ การให้อภัย การได้รับแบ่งปัน

รัก คือ สิ่งสำคัญสำหรับทุกชีวิต

ความรัก ไม่มีอาณาเขต ไม่มีพรหมแดน ไม่มีข้อจำกัด และกฎที่ตายตัว

ความรัก คือ การที่เรายอมรับทุกๆอย่างของคนอีกคนหนึ่งได้

ความรัก คือ ความอ่อนแอที่เกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว







ความรัก คืออะไร


เมื่อเราเกิดมีความรักขึ้นมาก็จะถามตัวเองว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร บางครั้งก็ตอบง่ายแสนง่ายอย่างมีเหตุผลอย่างมีลำดับขึ้นว่า เริ่มจาก 1.ความพึงพอใจ 2.ความชอบ 3.ความรัก 4.ความหลง


ความพึงพอใจ



ความรู้สึกดีๆ ในจุดๆ หนึ่ง ในช่วงเวลาสั้นๆ



ความชอบ



การมองเห็นถึงจุดยืนของตนในความต้องการ โดยอาจจะมีเหตุผลของความชอบ ดังนี้



1.ชอบที่หน้าตา

2.ชอบที่นิสัย

3.ชอบที่ความสามารถ

4.ชอบที่ฐานะ



ความรัก



ในเชิงอุดมคติคือ " ความชอบ ความพึงพอใจ ความจริงใจ ความปรารถนาดี ความหวังดี ความบริสุทธิ์ใจ โดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทน ความหลงไหล ความผูกพัน ความห่วงหา ความอาทร ความเข้าใจ ความห่วงใย ความใส่ใจ ความคิดถึง ความอบอุ่น ความนุ่มนวล ความอ่อนโยน ความอ่อนแอ ความอ่อนไหว ความสุข ความเสียสละ



" ความรักในเชิงทิฐิคือ " ความหึงหวง ความเสียใจ ความผิดหวัง ความเจ็บปวด ความชิงชัง ความเกลียดชัง ความก้าวร้าว ความรุนแรง ความโกรธแค้น ความเห็นแก่ตัว



" ความรักเชิงจินตนาการคือ " การเอาตัวเองเข้าไปพิสูจน์อย่างไม่มีวันที่สิ้นสุด



" ความรักในเชิงภาษาคือ " คำที่มี 2 พยัญชนะ เริ่มจาก ร เรือ และ ก ไก่



ร เรือ คือ การเรียนรู้

ก ไก่ คือ กาลเวลา



นั่นจึงมีหมายความว่า ความรักคือ การเรียนรู้ซึ่งกันและกันของคน 2 คน ที่มาอยู่ร่วมกัน ปรับตัวเข้าหากัน โดยมีเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์และประสานคนทั้ง 2 คน ให้เกิดความใกล้ชิดกันและเกิดเป็นความผูกพัน จนทำให้เกิดเป็นความเข้าใจ และเกิดเป็นสุขตามมา นั่นแหล่ะ " ความรัก "เหตุผล ปัจจัย ความเป็นไป ที่มาและพัฒนาการของความรักมีดังนี้



1.ความพึงพอใจ

2.ความชอบ

3.ความใกล้ชิด

4.ความผูกพัน

5.ความเข้าใจ



ความหลง



ความรักที่มากเกินความพอดี โดยไม่สนใจความถูกผิด ไม่เปิดใจรับเหตุผลต่างๆ พัฒนาการของความรัก ความพึงพอใจในจุดจุดหนึ่งของอีกฝ่าย เมื่อคบหาแล้วก็เริ่มที่จะพิจารณาและเห็นจุดยืนของความต้องการในตัวตนของตัวเองจนเกิดเป็นความชอบในองค์ประกอบของเค้า โดยมีเรื่องของเวลานำพาและสร้างความผูกพันความคิดถึง ห่วงหาจนเกิดเป็นความรัก ที่มีความสุข หากหมดรักเมื่อไหร่ ก็ไม่มีความสุขและเมื่อรักมากๆ มากจนเกินความพอดี โดยไม่คำนึงถึงความถูกผิด ไม่เปิดใจรับความจริงในเหตุผลต่างๆ นั่นแหละคือ " ความหลง "แต่บางครั้งก็ตอบไม่ได้เลยว่า มันคืออะไร มันอาจจะสับสนบ้างกับความรัก เพราะเราอาจจะตอบไม่ได้เลยว่าเราชอบหรือรักเค้าที่ตรงไหน ชอบหรือรักเค้าที่อะไร เมื่อไหร่ อย่างไร จะมีก็แต่คำว่า " ความรักไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลหรือทฤษฏี รักก็คือรักห้วนๆ หากรู้ตัวรู้ว่านี่คืออะไรเค้าจะเรียกว่าความรักหรือ!! " หรือว่าความรักคือความไม่รู้กันแน่นี่ หรือ
ความไม่มีเหตุผลกันแน่ !!



แล้วคุณหล่ะ เมื่อมีความรักแล้วรู้ตัวอยู่หรือเปล่าว่านี่คือความรักหรือความหลง รู้ตัวหรือเปล่าว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ รู้ตัวอยู่หรือเปล่าว่าคุณมีความรักได้อย่างไร? เมื่อไหร่?



แล้วความรักมันจะมาหาคุณเอง เมื่อวันใด เมื่อไหร่ที่คุณมีความกังวนใจ ว้าวุ่น ครุ่นคิดถึงใครสักคน สับสน แล้วเฝ้าถามตัวเองว่าเราเป็นอะไรไปเนี่ย นั่นแหล่ะความรักมันได้เริ่มคืบคลานเข้ามาหาคุณอย่างช้าๆ



"ความรักมักเล่นแง่กับเรา เมื่อเรามีความรักมันกลับวิ่งหนี เมื่อเราอยู่เฉยๆ มันกลับมาหาเราทั้งๆ ที่เราไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ " แต่นั่นก็เป็นความรักที่เกิดจากโชคหรือดวง แต่หากวันใดโชคหรือดวงที่ว่านี้มันเลิกเล่นแง่กับเรา เราก็อย่าได้เล่นแง่กับคนที่เรารักกับความรัก กับตัวเองเลย เมื่อเกิดการผิดใจกัน ลองคิดดูสิว่ากว่าเราจะได้รับมันมากว่าเราจะพบต้องใช้อะไรไปบ้าง? ความจริงใจ เวลา ความหนักแน่ ความมั่นคง ความเชื่อใจ ความไว้วางใจ แล้วจะให้ความคิดเพียงชั่ววูบมาทำลายสิ่งดีๆ ที่ผ่านมามันไม่คุมเอาเสียเลย



" หากคิดที่จะรัก ใยต้องคิดถึงความผิดหวัง?



หากคิดที่จะรัก ใยคิดถึงผลที่ขมขื่นของมัน?



หากไม่รู้จักรัก จะรู้จักความสุขหรือ?



หากคิดแต่เรื่องความทุกข์ แล้วจะสุขได้อย่างไร?



และหากมีใจ ใยต้องสร้างกำแพงขวางกัน? หรือต้องการที่จะพิสูจน์อนุภาพของมัน...... "



เรื่องของความรัก -------> ไม่มีคำว่ายุติธรรม หรือ คำว่าเสมอภาค



เรื่องของความรัก -------> ไม่มีคำว่าบังเอิญ มีแต่คำว่าตั้งใจ



เรื่องของความรัก -------> ไม่มีคำว่าฝืนทน มีแต่คำว่าเข้าใจ



เรื่องของความรัก -------> ไม่มีคำว่าเสียสละให้ใคร มีแต่คำว่ารัก เข้าอกเข้าใจ รู้ใจ เห็นใจ และร่วมฝ่าฟันไปด้วยกันก็พอ





เคยมีใครถามคุณไหมว่า "ความรักคืออะไร?"



วันนี้เรามีคำตอบให้คุณแล้วล่ะ



คำที่ใช้แทนคำว่า "ความรัก" ได้ดีที่สุด น่าจะเป็นคำว่า "ใส่ใจ"



หากคุณคิดที่จะบอกรัก หรือรู้สึกว่าตัวเองเริ่มที่จะรักใครสักคน ลองถามตัวเองดูว่า คุณใส่ใจเค้ามากน้อยแค่ไหน?



ความใส่ใจ ไม่ใช่ ความเอาใจ



หากคนรักของคุณจำได้ขึ้นใจว่า คุณเคยพูดว่าอยากได้อะไร แล้วเค้าหาซื้อของชิ้นนั้นให้ ไม่ใช่สักแต่ว่าซื้อซื้อซื้อของเยอะแยะมากมาย เพื่อเอาใจ...นั่นแหละถึงเรียกว่า ความใส่ใจ




ความใส่ใจ ไม่ใช่ ความหึงหวง



หากคนรักของคุณโทรหาคุณทุกคืนถามว่ากลับถึงบ้านหรือยัง เพียงเพราะเค้าเป็นห่วง ไม่ต้องการให้คุณได้รับอันตรายในยามดึก ไม่ใช่กลัวว่าคุณจะไปกับคนอื่น...นั่นแหละเรียกว่าความใส่ใจ



ความใส่ใจ ไม่ใช่ ความมีน้ำใจอย่างเดียว หากแต่มีความถนอมน้ำใจด้วย



หากคนรักของคุณทำอะไรเพื่อคุณสักอย่างด้วยความตั้งใจ แต่คุณกลับไม่ชอบมัน คิดไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะพูดอะไรออกไป ใส่ใจในความรู้สึกของเค้าด้วย



หากคุณทะเลาะกับคนรัก แต่แล้ววันรุ่งขึ้น คนรักของคุณยังโทรมาแสดงความเป็นห่วงในเรื่องต่างๆ เหมือนทุกๆวัน ทั้งๆที่ยังไม่หายโกรธ...นั่นแหละเรียกว่าความใส่ใจ



หากคนรักของคุณยอมสละเวลา ทำบางสิ่งเอาไว้ทีหลัง เพียงเพื่อช่วยทำในสิ่งที่คุณขอ...นั่นแหละเรียกว่า ความใส่ใจ คนเราบางครั้งก็ต้องการมีใครสักคนคอยใส่ใจเราบ้าง



หากคุณต้องเดินทางไกล มันจะรู้สึกดีเอามากๆ ถ้าคนรักของคุณโทรมาถามว่า

"ถึงหรือยัง"

"ปลอดภัยดีไหม"

"เหนื่อยไหม"



หากคุณต้องปฏิบัติภาระกิจสำคัญไม่ว่าจะเรื่องงาน หรือเรื่องเรียน มันจะรู้สึกดีเอามากๆ ถ้าคนรักของคุณจำได้ และโทรมาบอกว่า

"โชคดีนะ"
"ชั้นจะคอยเป็นกำลังใจให้"



หากคุณต้องขับรถคนเดียว มันจะรู้สึกดีเอามากๆ ถ้าคนรักของคุณโทรมาบอกว่า

"ขับรถดีๆนะ"



หากคุณป่วยเป็นไข้ ไม่สบาย มันจะรู้สึกดีเอามากๆ ถ้าคนรักของคุณโทรมาเตือนให้คุณกินยา และพักผ่อนมากๆ



ความใส่ใจ กับความเกรงใจ คล้ายกันในหลายๆด้าน คุณอาจคิดว่ายิ่งคบกันสนิทสนมกันมากเท่าไหร่ ก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันให้มากเหมือนคนที่เพิ่งเริ่มรู้จักกัน แต่กลับไม่คิดอย่างนั้น ยิ่งสนิทกันมากเท่าไหร่ ต้องยิ่งเกรงใจซึ่งกันและกัน



ความเกรงใจเป็นสิ่งดี และเป็นบ่อเกิดของความสัมพันธ์อันยั่งยืน คุณเห็นไหมล่ะว่า ไม่ยากเลยที่จะแสดงความใส่ใจต่อใครสักคน



เพียงแต่วันนี้ คุณใส่ใจคนรักของคุณแล้วหรือยัง?????





เรื่องลับลับเกี่ยวกับความรัก



มีความลับเกี่ยวกับความรักอีกมากมายหลายอย่าง ที่เรายังต้องค้นหากันต่อไป แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินเข้าใจยิ่งค้นหาก็จะทำให้เรารู้ซึ้งถึงคุณค่าของมันมากขึ้น



ความรักเริ่มจากความคิด



เพราะความคิดเป็นจุดเริ่มต้นของความรัก บางทีความรักก็ทำให้เราเปลี่ยนแปลงความคิดอย่างที่เคยเป็นต้องปรับปรุงในสิ่งที่เราเคยทำ เพียงเพื่อให้เข้ากับใครอีกคน



ความรักทำให้เกิดความเคารพ ศรัทธา



คุณไม่สามารถรักใครได้หรอกถ้าคุณไม่รู้สึกเชื่อมั่นเป็นอันดับแรก และคนแรกที่คุณต้องศรัทธาเชื่อมั่น นั่นก็คือตัวคุณเอง



ความรักคือการให้



ถ้าคุณต้องการที่จะได้ความรักสิ่งที่คุณต้องทำก็คือ รู้จักให้ด้วยยิ่งให้คุณก็จะยิ่งได้รับ สูตรลับของความสุข และทำให้มิตรภาพยืนยาวที่คุณควรจะจำเอาไว้เสมอก็คือ อย่าถามว่าคนอื่นให้อะไรคุณบ้าง แต่ให้ถามว่าคุณ ทำอะไรให้คนอื่นบ้างจะดีกว่า



ในความรักมีมิตรภาพซ่อนอยู่



อยากได้รักแท้ก็ต้องหาเพื่อนแท้ให้ได้ซะก่อนการจะรักกันได้ไม่ใช่แค่มองตา แต่อยู่ที่ว่าต่างคนต่างมีอะไรที่ตรงกันรึเปล่าหากจะรักใครอย่างจริงใจคุณควรจะรักในสิ่งที่เขาเป็น ไม่ใช่แค่ภาพที่คุณเห็นมิตรภาพก็เหมือนกับปุ๋ยที่ช่วยทำให้ความรักเบ่งบานเติบโตทุกๆ วันนั่นเอง



การสัมผัสกันจะช่วยสานต่อความรักให้ดีขึ้น



เคยรู้สึกดีใช่มั้ยเวลาที่มีใครมาโอบใหล่หรือกอดคุณการสัมผัสกันจึงเป็นการแสดงออกอย่างหนึ่งที่มีพลังช่วยทลายกำแพงแห่งความชิงชังไม่เข้าใจได้อีกด้วยน่าแปลกที่มันสามารถเปลี่ยนแปลงอารมณ์และท่าทีที่แข็งกร้าวให้เบาลงอย่างได้ผล






อยากรักต้องรู้จักปลดปล่อย


ถ้าคุณรักใครจงปล่อยให้เขาเป็นอิสระบ้างคุณเองก็รู้สึกอึดอัดใช่มั้ย ถ้าหากมีใครมาล่ามโซ่คุณ จงเรียนรู้ที่จะให้อภัยและลืมอดีตที่ไม่ดีมาก่อนปลดปล่อยความกลัวภายในใจให้ความยุติธรรม ลดทิฐิ และเงื่อนไขต่างๆซะบ้าง บอกตัวเองว่า แต่นี้ไปเราจะทิ้งความกลัวทั้งหมดและอดีตจะไม่มีผลอะไรต่อตัวเราอีก นับจากวันนี้ไปเราจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ซะที



ชีวิตจะเปลี่ยนไป เมื่อเราเรียนรู้ที่จะเปิดใจให้กว้าง และซื่อสัตย์ต่อกัน



คุยกับคนที่คุณรัก อย่ากลัวที่จะพูดคำวิเศษ 3 คำว่า "ฉันรักเธอ" อย่าปล่อยให้โอกาสผ่านไป คุณควรจะบอกรักก่อนจะจากกันทุกครั้งเสมอ เพราะบางทีคุณอาจจะได้เจอกันครั้งสุดท้ายก็ได้ใครจะไปรู้



แก่นแท้ของความรัก คือการไว้ใจกัน



ถ้าคุณไม่เชื่อใจกัน ใครคนนึงก็จะเป็นคนระแวง กังวลและหวาดหวั่น ส่วนอีกคนก็จะรู้สึกอึดอัดใจคุณไม่อาจรักใครจริงๆ ได้ถ้าคุณไม่ไว้ใจเขาอย่างแท้จริง

23 กุมภาพันธ์ 2553

การ์ตูน !!





ชินจังจอมแก่น Crayon Shin-chan

ชิน จังจอมแก่น (「クレヨンしんちゃん」, Kureyon Shinchan, クレヨンしんちゃん?) เป็นการ์ตูนญี่ปุ่น เรื่องและภาพ โดยโยชิโตะ อุสึอิ ตีพิมพ์ในประเทศญี่ปุ่นโดยสำนักพิม์ Futabasha ในประเทศไทยตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์เนชั่น เอ็ดดูเทนเมนท์ และได้รับการสร้างเป็นแอนิเมชัน ในปีพ.ศ. 2535


ชินจังจอมแก่น เป็นการ์ตูนแนวตลกขบขันเรื่องหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย ชินจังเป็นการ์ตูนที่มีลายเส้นง่ายๆ เป็นการ์ตูนยอดฮิตทุกประเทศ







เนื้อเรื่องเกี่ยวกับชินจัง (โนะฮาร่า ชิโนสึเกะ; Nohara Shinosuke) เด็กอนุบาลวัย 5 ขวบสุดแก่น มีนิสัยคล้ายคลึงกับพ่อ (ฮิโรชิ) เช่น ชอบผู้หญิงหุ่นดีหน้าตาดี และยังชอบอาบน้ำกับพ่อมาก . แม่ของชินจัง (มิซาเอะ) มีนิสัยขี้เหนียวและขี้อ่อนแอโมโห.ชินจังมีน้องสาวหนึ่งคนชื่อฮิมาวาริ. ครอบครัวของชินจังเลี้ยงหมาหนึ่งตัว ชื่อเจ้าขาว (ชิโร่). เพื่อน ๆ ของชินจังที่พบในเรื่องบ่อย ๆ คือ คาซาม่าคุง, เนเน่จัง, มาซาโอะคุง, และ โบจัง ชินจังมักมีท่าแปลกๆ เช่น ท่ามนุษย์ต่างดาวนู้ดครึ่งก้น ท่าที่เอากางเกงในมาครอบหัว โดยทำเหมือนกับว่ามันเป็นหน้ากาก ชินจังชอบดูการ์ตูนหน้ากากแอ็คชั่น เป็นคนที่ชื่นชอบ และชื่นชมในตัวหน้ากากแอ็คชั่นมาก การละเล่นของชินจังที่โรงเรียนคือ เล่นเป็นยุง เล่นเป็นอึ เล่นซ่อนแอบแบบไม่มีคนหา เล่นแกล้งตายบนหิมะ เล่นพ่อ แม่ ลูก



ตัวละครหลัก

:











โนะฮาร่า ชินโนซึเกะ (อายุ 5 ปี)

ตัวละครเอกของเรื่อง มีนิสัยเจ้าชู้ แก่แดด กะล่อน ชื่นชอบสาวสวยหุ่นดีคล้ายฮิโรชิ หาเรื่องป่วนได้ทุกเวลา มีปัญหาเรื่องออกเสียงและการใช้ภาษาอย่างผิดหลักไวยากรณ์ กระนั้นก็ยังพูดจาฉะฉาน ใช้คำพูดเกินเด็ก แทงใจดำคน อ่านใจคนเก่งมาก (ดังพบเห็นได้จากการไปห้างสรรพสินค้า ที่มักจะรู้เล่ห์กลของพนักงานขาย) แต่แท้จริงแล้วเป็นคนที่รักครอบครัวและคนรอบข้างอยู่ ที่สำคัญกว่านั้นสิ่งที่ไม่มีใครพูดถึง คือ ความมีนำใจของชินจัง มีความเฉลียวฉลาด กล้าหาญ คิดดีทำดี และสุดท้ายเป็นคนเห็นอกเห็นใจผู้อื่นแถมยังชอบช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนด้วย (ความสามารถพิเศษของชินจังคือ มีปฏิกิริยาตอบโต้กับสาวสวยรวดเร็ว ลอกเลียนแบบเก่ง ทำเครื่องแต่งกายเก่ง และเต้นเก่ง)




โนะฮาร่า ฮิมาวาริ (วัยคลาน)

น้องสาวของชินโนซึเกะ มีนิสัยคล้ายมิซาเอะ ชื่นชอบเครื่องประดับและดาราหนุ่มหล่อ ชื่อของฮิมาวาริมาจากการเลือกชื่อโดยการใช้เครื่องบินกระดาษ โดยคำว่า ฮิมาวาริ มาจากชื่อห้องเรียนที่ชินโนซึเกะเรียนอยู่






โนะฮาร่า มิซาเอะ (อายุ 29 ปี)

แม่ของชินโนซึเกะ ชอบใส่กางเกงในสีใส ขนหน้าแข้งดก ท้องลาย ทำให้ถูกชินโนซึเกะนำไปล้อเสมอ





โนะฮาร่า ฮิโรชิ (อายุ 35 ปี)

พ่อของชินโนซึเกะ มีอาชีพเป็นพนักงานบริษัท แอบเจ้าชู้และชอบกินเบียร์ เลี้ยงดูชินโนซึเกะแบบเพื่อน




เจ้าขาว(ชีโร่)

สุนัขที่ถูกทิ้ง ซึ่งชินจังนำมาเลี้ยง แต่มักจะไม่ได้รับการเอาใจใส่จากชินจังเท่าที่ควร
ซากุราดะ เนเน่ มีชื่อเล่นว่า เนเน่จัง เป็นเด็กสาวในกลุ่มของชินโนซึเกะ มีนิสัยขี้โมโห แต่ซ่อนไว้โดยการทำนิสัยน่ารัก ชอบเล่นพ่อแม่ลูกเป็นชีวิตจิตใจ เนเน่จังจะต่อยตุ๊กตากระต่ายตัวเล็กเป็นการระบายอารมณ์ ซึ่งเลียนแบบมาจากคุณแม่ของเนเน่จังนั่นเอง








โทโอรุ คาซาม่า

มีชื่อเล่นว่า คาซาม่าคุง เป็นเด็กที่เกิดมาในครอบครัวที่ยุ่งอยู่กับธุรกิจ จึงทำให้คาซาม่าคุง มีนิสัยขี้โอ่ ชอบอวดร่ำอวดรวยในบางครั้ง และยังติดแม่มาก แต่เป็นเด็กเรียนดีของห้อง มักถูกชินโนซึเกะแซวเล่นและคอยปั่นป่วนตลอดเวลา เลยทำให้ไม่กล้าเปิดเผยความชอบส่วนตัวสักเท่าไหร่ เกรงจะถูกชินโนซึเกะเอาไปล้อ จริง ๆ แล้วเป็นเพื่อนที่สนิทกับชินจังมาก





ซาโต้ มาซาโอะ

มีชื่อเล่นว่า มาซาโอะคุง เป็นเด็กผมโล้น มีนิสัยขี้ระแวง ขี้แย อ่อนแอ ถูกหลอกง่ายจึงมักถูกเพื่อนๆลากไปสร้างวีรกรรมเสมอๆ มักถูกเด็กประถมรังแกบ่อยครั้ง มีฉายาว่า หัวข้าวปั้น หลงรักไอย์จังอย่างโงหัวไม่ขึ้น
โบจัง เป็นเด็กที่พูดน้อยและตัวสูงที่สุดในกลุ่ม ลักษณะเด่นคือ มีน้ำมูกไหลย้อยตลอดเวลาและพูดแค่คำว่า "โบ" มีความลับอยู่ในเรื่องครอบครัว เพราะไม่ปรากฏพ่อแม่โบจังเลย (มีตอนที่กลุ่มชินจังพยายามตามสืบหาพ่อแม่ของโบจัง แต่ไม่สำเร็จ) มีความเก่งด้านศิลปะเชิงนามธรรม ได่รับรางวัลประกวดวาดภาพหลายครั้ง เช่น หัวใจของอีกา



ซึโอโตเมะ ไอย์

มีชื่อเล่นว่า ไอย์จัง เป็นคุณหนูลูกเศรษฐี เป็นทั้งเพื่อนและคู่กัดของเนเน่จัง ปรากฏตัวในหนังสือการ์ตูนเล่มที่ 16 มักจะชอบพูดจาเกี่ยวกับเรื่องฐานะ ซึ่งทำให้มีปัญหากับเนเน่จังอยู่บ่อยครั้ง หลงรักชินโนะซึเกะมาก มีความสามารถพิเศษในการจัดงานต่างๆ(โดยใช้บอดี้การ์ด) และทำให้เด็กผู้ชายคนอื่นๆตกหลุมรักได้ (ยกเว้นชินจัง)



ตัวละครรอง :

โอฮาร่า นานาโกะ ชินโนซึเกะมักเรียกเธอว่า พี่นานาโกะ เป็นเพื่อนบ้านของชินโนะซึเกะ มีคุณพ่อเป็นนักเขียนนิยายชื่อดัง ซึ่งหวงลูกสาวมาก

ครูโยชินาง่า มิโดริ (อิชิซากะ มิโดริ) ครูประจำชั้นห้องฮิมาวาริ มักเหนื่อยหน่ายใจกับพฤติกรรมของชินโนซึเกะ แต่ภูมิใจที่ได้สอนเด็กๆจอมซนพวกนี้ ภายหลังได้แต่งงานกับ อิชิซากะ จุนอิจิ โดยมีพ่อสื่อแม่สื่อคือกลุ่มของชินโนซึเกะ แต่งงานที่โรงเรียนอนุบาล ท่ามกลางสายฝน ปัจจุบันมีลูกสาว ชื่อ โมโมะ

ครูมัตสึซากะ อุเมะ ครูประจำชั้นห้องกุหลาบ มีลักษณะคล้ายสาวสวยไฮโซ ชอบต่อล้อต่อเถียงกับโยชินนาง่า บ่อยครั้ง มีจุดอ่อนเรื่องหาคนรักไม่ได้(แม้ว่าจะมีคนรักอยู่แล้วก็ตาม)และเรื่องการเป็นสาวโสด กำลังคอยหาดูใจกับหมอเกียวดะ โทคุโร่ ซึ่งตอนนี้ไปทำวิจัยขุดซากฟอสซิลไดโนเสาร์อยู่ต่างประเทศ

ครูอาเงโอะ มาซึมิ ครูผู้มี2บุคลิก โดยเมื่อใส่แว่นจะมีท่าทางสงบเสงี่ยม เรียบร้อยและไม่กล้าแสดงออก แต่เมื่อถอดแว่นออกจะเปลี่ยนเป็นคนละคน เก่งทางด้านคอมพิวเตอร์ แอบทำเว็บไดอารี่เป็นของตนเองแต่กลุ้มใจที่ไม่มีใครเข้ามาดูเลยสักคนเนื่องจากไม่กล้าบอกว่าตนเองมีเว็บไซด์

ครูใหญ่ ทาคาคูระ บุนตะ ครูใหญ่แห่งโรงเรียนอนุบาลฟุตาบะ มีหน้าตาคล้ายนักเลงยากูซ่าระดับหัวหน้าแก๊งค์แต่จริงๆแล้วเป็นคนใจดี

คุณนาย ทาคาคูระ ภรรยาของคุณครูใหญ่

เคโกะ เป็นเพื่อนสนิทของมิซาเอะ มีสามีอายุน้อยกว่า ซึ่งชินจังมักจะนำเรื่องนี้ไปเล่าเพื่อนบ้านของน้าเคโกะ ให้อับอายเป็นประจำ มีลูกชาย 1 คน




ตัวละครอื่นๆ :

โนะฮาร่า กิงโนะสึเกะ คุณปู่ของชินโนซึเกะ หัวล้านหน้าตาคล้ายชินโนซึเกะ เจ้าชู้ กะล่อน ชอบเด็กเอ๊าะ ๆ ไม่รู้จักแก่

โนะฮาร่า ซึรุ คุณย่าของชินโนซึเกะ เป็นคนสนุกสนาน ซึ่งคุณปู่ของชินจังมักอยู่ในอำนาจ

โนะฮาร่า เซมาชิ คุณลุงของชินโนซึเกะ เป็นพี่ชายของฮิโรชิ

โคยาม่า โยชิจิ คุณตาของชินโนซึเกะ อดีตนายตำรวจ มักไม่ถูกชะตากับกิงโนะซึเกะ จึงหาเรื่องทะเลาะได้ทุกครั้งเมื่อเจอกัน(และมักจะเจอกันโดยบังเอิญเสียทุกครั้ง) มีนิสัยเคร่งขรึม ยึดขนมธรรมเนียม ต่างจากปู่ของชินจัง

โคยาม่า ฮิซาเอะ คุณยายของชินโนซึเกะ เป็นคนใจดี คอยประนีประนอมข้อพิพาทระหว่างของโยชิจิกับกิงโนะซึเกะ

โคยาม่า มาซาเอะ คุณป้าของชินโนซึเกะ นิสัยขี้เล่น ชอบแกล้งมิซาเอะอยู่เสมอ ชอบใส่ชุดกิโมโน

โคยาม่า มุซาเอะ คุณน้าของชินโนซึเกะ มีปัญหาทางด้านการเงิน ซึ่งมิซาเอะให้ความช่วยเหลือ จากในหนังสือการ์ตูนตอนหนึ่ง

ซากุระดะ โมเอโกะ คุณแม่ของเนเน่จัง มักไม่พอใจที่ชินโนซึเกะทำลายความสงบสุขในชีวิตของตนและครอบครัว มักระบายอารมณ์โดยการต่อยตุ๊กตากระต่าย จนติดเป็นนิสัยและทำให้เนเน่จังเลียนแบบโมเอโกะในที่สุด

คาวามูระ ยาซึโอะ มีฉายาว่า ชีต้า เป็นเด็กห้องกุหลาบ เป็นนักฟุตบอล เป็นคู่ปรับของชินโนซึเกะ มักพ่ายแพ้ให้กับความกะล่อนขงชินโนซึเกะบ่อยครั้ง

ฮิโทชิ เด็กห้องกุหลาบ มีนิสัยแย่ ทำตัวนักเลง ชอบรังแกคนที่อ่อนแอกว่าโดยเฉพาะมาซาโอคุง

เทรุโนบุ เด็กห้องกุหลาบ มีนิสัยแย่พอๆกับฮิโทชิ ชอบรังแกมาซาโอะคุง

แก๊งแมงป่องแดงแห่งไซตามะ เป็นแก๊งนักเรียนม. ปลาย 3 คน ชอบบังเอิญแสดงตัวในสวนสาธารณะเวลาที่กลุ่มชินโนซึเกะ กำลังเล่น ทำให้ถูกนึกว่าเป็นตลกคาเฟ่ มีท่าประหลาดๆประจำแก๊งค์เสมอ แต่มักทำตัวเป็นประโยชน์ ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร เคยช่วยงานที่โรงเรียนอนุบาล

บูริบูริซาเอมอน ตัวละครในจินตนาการของชินโนะซึเกะ ซึ่งชินโนะซึเกะเคยเขียนการ์ตูนเล่นบ่อยครั้ง

หน้ากากแอ็คชั่น ฮีโร่ในดวงใจของชินโนซึเกะ

ซากุระ มิมิโกะ นางเอกในหนังเรื่องหน้ากากแอ็กชั่น

หุ่นยนต์คันตั้ม อะนิเมะหุ่นยนต์ในดวงใจของชินโนซึเกะ

สาวน้อยเวทมนตร์ โมเอะ-P อะนิเมะประเภทโชโจ ที่ชินโนซึเกะชื่นชอบ




'เพลงที่ชอบ '






MusicPlaylist
Music Playlist at MixPod.com





เพลง เวร-กรรมPenguin เพนกวิน

เธอช่างมีความหมายมากมายเหลือเกิน
เหมือนว่าบนสวรรค์ให้มาร่วมเดิน เคียงฉันไป เคียงหัวใจ
ไม่เท่าไหร่ ความฝันก็พังทลาย
รักที่มีก็เหมือนว่าต้องเฉาตาย ต้องเฉาตาย เธอทิ้งไป
วันที่เคยฉ่ำหวาน ก็กร่อย

เป็นเหมือนเวรเหมือนกรรมที่ทำมาก่อน
เป็นเหมือนเวรเหมือนกรรมที่ทำมาก่อน
จะรักกับใครคนไหนก็โดนทิ้งไป

พอเจออีกคนเท่านั้นก็ลืมยั้งใจ
รักอีกแล้วใช่ไหมโดยไม่รู้ทันในทุกวัน พลันชื่นใจ
แล้วเส้นทางความรักที่ยังยาวไกล
มันก็จบลงเหมือนครั้งที่แล้วมาเป็นเหมือนเดิม เหมือนทุกคราว
วันที่เคยฉ่ำหวานก็กร่อย

เป็นเหมือนเวรเหมือนกรรมที่ทำมาก่อน
เป็นเหมือนเวรเหมือนกรรมที่ทำมาก่อน
จะรักกับใครคนไหนก็โดนทิ้งไป

หรือตัวเราต้องทำใจ ว่าเป็นความจริงที่ต้องรับไป
ไม่มีทาง ฝืนต้านทานกั้นความรักไว้ ยังไง ก็
คงต้องเจอซ้ำไป ซ้ำมาเหมือนเดิมแม้ต่างแค่เพียงเวลา
ให้คนแล้วคนเล่า เดินเข้าซ้ำเติมหัวใจให้ซ้ำ เหมือนทุกครา

เป็นเหมือนเวรเหมือนกรรมที่ทำมาก่อน

เป็นเหมือนเวรเหมือนกรรมที่ทำมาก่อน
เป็นเหมือนเวรเหมือนกรรมที่ทำมาก่อน
เป็นเหมือนเวรเหมือนกรรมที่ทำมาก่อน
จะรักกับใครคนไหนก็โดนทิ้งไป

เป็นเหมือนเวรเหมือนกรรมที่ทำมาก่อน
คงต้องไปเข้าวัดทำบุญซักที..